วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

ฟิรเอาน์ พระเจ้าผู้จมน้ำตาย




นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่หยิ่งยโส กดขี่ข่มเหงบ่าวของพระองค์ และตั้งตนเองเป็นพระเจ้า


ฟิรเอาน์ เป็นกษัตรย์ปกครองประเทศอียิปต์ มีความหยิ่งผยองจนถึงขนาดบังคับให้ฝูงชนเคารพสักการะตัวเอง นอกเหนือจากอัลลอฮ์ ดังกุรอ่านระบุในซูเราะห์ อัลนาซีอาด อายะห์ที่ 23-24 ความว่า (23.แล้วเขาก็ได้เรียกชุมนุมแล้วประกาศออกไป 24. แล้วกล่าวว่าฉันคือพระเจ้าสูงสุดของพวกท่าน)

อีหม่ามอัซซูดี จากอิบนิอับบาส และซอฮาบะห์คนอื่นๆ กล่าวว่า “แท้จริงฟิรเอาน์ได้นอนหลับ และฝันว่า มีไฟดวงหนึ่งลอยมาจากบัยตุลมักดิส (เยรูซาเล็ม) และมาส่องสว่างในประเทศอียิปต์ และเผาทำลายประเทศอียิปต์ รวมทั้งเผาทำลายชาวกิบฏี ซึ่งเหลือไว้แต่เพียงวงศ์วานของอิสรออีลเท่านั้น เมื่อเขาตื่นขึ้นมา ก็เรียกโหรหลวงมาทำนายฝัน ซึ่งพวกเขาบอกกับฟิรเอาน์ว่า จะมีเด็กชายที่มีเชื้อชาติวงศ์วานของอิสราอีลมาเกิด และท้าทายอำนาจของท่าน และในที่สุดจะมีชัยเหนือท่าน ขับไล่ท่านและประชาชนของท่านให้ออกไปจากแผ่นดินของท่าน พร้อมทั้งนำศาสนาใหม่มาแทนที่ท่าน และขณะนี้ถึงเวลาที่เขาจะมาเกิดแล้ว”

ฟิรเอาน์ได้รับฟังดังนั้น จึงเรียกบรรดาหมอตำแยเข้าเฝ้า และรับสั่งแก่พวกหมอว่า หากมีหญิงใดที่ตั้งท้องหรือกำลังจะคลอดลูก โดยที่พวกท่านเป็นผู้ทำคลอด หากคลอดเป็นเด็กชายให้ฆ่าทิ้ง ในหนังสือกุรตุบี และ อัลกาชาฟ กล่าวว่า ฟิรเอาน์ได้ฆ่าชีวิตเด็กผู้ชายเพราะการนี้ถึง 9,000 คนสำหรับการค้นหามูซา

และในขณะเดียวกันมารดาของมูซาก็เป็นผู้หนึ่งที่กำลังตั้งท้อง

อิบนิกาซีร กล่าวว่า “การตั้งท้องของนางไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เมื่อถึงเวลาที่นางเจ็บครรภ์จะคลอด หมอตำแยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ กับนาง ซึ่งนางก็เป็นผู้หนึ่งที่หมอตำแยคนนี้รักมาก หมอตำแยคนนี้จึงเป็นผู้ทำคลอดให้นาง หมอตำแยเห็นใบหน้าของมูซาส่งแสงจรัสจ้า นางจึงบอกกับมารดาของมูซาว่า “จงดูแลรักษามูซาให้ห่างไกลจากคนของฟิรเอาน์”

อัลลอฮ์ประทานความน่ารักน่าเอ็นดูแก่มูซา สร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ดังกุรอ่านซูเราะห์ ตอฮา อายะห์ที่ 39 ความว่า (แล้วข้าก็ได้ให้ความรักจากข้าแก่เจ้า เพื่อเจ้าจะได้รับการเลี้ยงดูภายใต้สายตาของข้า)

อัลลอฮ์ได้ประทานวะฮ์ยูแก่มารดาของมูซาในความฝันของนาง ดังซูเราะ อัล กีซ็อซ อายะห์ที่ 7 ความว่า (และเราได้ดลใจแก่มารดาของมูซา จงให้นมแก่เขา เมื่อเจ้ากลัวแทนเขาก็จงโยนเขาลงไปในแม่น้ำ และเจ้าอย่าได้กลัวและอย่าได้เศร้าโศก แท้จริงเราจะให้เขากลับไปหาเจ้า และเราจะทำให้เขาเป็นหนึ่งในบรรดารอซูล)

อันที่จริงบ้านของนางยื่นลงไปในแม่น้ำไนล์ นางจึงสร้างกล่องขึ้นมาใบหนึ่งที่ไม่จมน้ำ เพื่อใส่มูซาในกล่องนั้น แล้วปล่อยกล่องนั้นลงไปในแม่น้ำ และใช้เชือกผูกกล่องนั้นไว้ ผูกปลายเชือกอีกด้านหนึ่งไว้กับต้นไม้ เมื่อนางต้องการจะให้นมลูกก็จะดึงเชือกเข้ามา เมื่อให้นมเสร็จก็ผูกไว้อย่างนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งนางลืมที่จะผูกเชือกไว้กับต้นไม้ กล่องใบนั้นจึงหลุดลอยไปกับกระแสน้ำจนกระทั่งไปถึงปราสาทของฟิรเอาน์ ซึ่งมีนางสนมของฟิรเอาน์เห็นกล่องลอยน้ำมา จึงเปิดออกดูเจอมูซา จึงนำไปให้นาง “อาซียะ บินตี มาซาหิม) ภรรยาของฟิรเอาน์ เมื่อนางเห็นมูซาน่ารักน่าเอ็นดู นางจึงอุ้มมูซาไปหาฟิรเอาน์และกล่าวว่า (น่าชื่นชมยินดีแก่ดิฉันและแก่ท่าน อย่าฆ่าเขาเลย บางทีเขาจะเป็นประโยชน์แก่เรา หรือเราถือว่า และพวกเขาหารู้ตัวไม่) ซูเราะห์อัลกีซ็อซ อายะห์ที่ 9 ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้มูซาได้รับการเลี้ยงดูในปราสาทของฟิรเอาน์ แต่ในขณะเดียวกันฟิรเอาน์กำลังค้นหามูซาอยู่นอกปราสาท ดังกุรอ่านซูเราะห์อัลกิซ็อซ อายะห์ที่ 8 ระบุ ความว่า (ดังนั้น บริวารของฟิรเอาน์ได้เก็บเขาขึ้นมา เพื่อให้เขากลายเป็นศัตรู และความเศร้าโศรกแก่พวกเขา แท้จริงฟิรเอาน์และฮามานและไพร่พลของเขาทั้งสองเป็นพวกที่มีความผิด)

ส่วนมารดาของมูซาเมื่อทราบว่า ลูกชายของนางตกอยู่ในน้ำมือของฟิรเอาน์แล้ว นางจึงรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง จนเกือบจะเปิดเผยความจริงออกมา ดังที่อัลลอฮ์ได้กล่าวไว้ในซูเราะห์เดียวกัน อายะห์ที่ 10. ความว่า (และจิตใจของมารดาของมูซาได้คลายความวิตกกังวลลง นางเกือบจะเปิดเผยกับเขา หากเรามิได้ทำให้จิตใจของนางมั่นคง เพื่อที่นางจะเป็นหนึ่งในหมู่ผู้ศรัทธา)

ในขณะเดียวกัน พระนางอาซียะ กำลังจัดหาแม่นมให้มูซา แต่มูซาปฏิเสธที่จะดื่มนมจากแม่นมที่พระนางจัดหามาให้ อัลลอฮ์มิให้มูซาดื่มนมจากแม่นมคนใดเลย ทั้งนี้ก็เพื่อให้มูซาได้กลับไปหาแม่ของตัวเอง มูซาไม่ดื่มนมนอกจากแม่ของตัวเอง ซึ่งเมื่อนางอาซียะกำลังเสาะหาแม่นมอยู่นั้น มารดาของมูซาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ไปทดสอบให้มูซาดื่มนม ซึ่งมูซาก็เลือกที่จะดื่มนมจากเต้านมของนาง นางอาซียะห์จึงขอให้นางอาศัยอยู่ที่นั่นเพื่อจะให้นมแก่มูซา แต่นางก็ปฏิเสธและบอกกับอาซียะห์ว่า นางมีสามีและลูกๆ ที่ต้องดูแลอีกหลายคน ซึ่งหากท่านไม่ขัดข้อง ฉันจะนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยงที่บ้านของฉัน พระนางอาซียะจึงตอบตกลง พร้อมทั้งจ่ายค่าเลี้ยงดูแก่นางตามความเหมาะสม นางจึงนำมูซากลับไปบ้านด้วยความยินดี หลังจากที่อัลลอฮ์ได้เปลี่ยนแปลงความตระหนกกลัวให้กลายเป็นความมั่นใจในความปลอดภัย พร้อมทั้งรับริสกีที่เพิ่มพูนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้มีรายงานกล่าวว่า “เปรียบกับผู้ปฎิบัติและรับค่าจ้างในการทำงานที่ดี เสมือนกับแม่ของมูซาที่เลี้ยงลูกของตน พร้อมทั้งรับค่าจ้าง”

เมื่อถึงเวลาหย่านม มูซาก็ต้องกลับไปอาศัยอยู่ในปราสาทของฟิรเอาน์ ซึ่งคล้ายๆ กับอัลลอฮ์จะกล่าวกับฟิรเอาน์ว่า “ไม่มีสถานที่ใดสำหรับเลี้ยงดูมูซา เว้นแต่ในบ้านของท่าน และมูซาจะไม่รับอาหาร เว้นแต่จากอาหารและน้ำดื่มของท่าน ซึ่งท่านเป็นผู้เลี้ยงดูเขา และหลังจากนั้นความพินาศของท่านก็จะตกอยู่ในน้ำมือของเขา ท่านจึงรับรู้ไว้เถิดว่า ท่านนั้นจะไม่มีทางรู้ความลับ ซึ่งหากท่านเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ท่านก็คงต้องรู้ความลับ ซึ่งจะเป็นไปได้หรือที่ผู้ที่เป็นพระเจ้าจะไม่รู้ความลับ”

เมื่อมูซาเติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่ม และเริ่มรับทราบว่ากลุ่มชนของท่านถูกปฏิบัติด้วยความกดขี่ และทารุณ และบางครั้งถูกทำร้ายถึงชีวิต ความเป็นศัตรูและเคียดแค้นของมูซาต่อฟิรเอาน์จึงเกิดขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากฟิรเอาน์คือบ่อเกิดของความทารุณทั้งหมด อัลลอฮ์ได้ทรงประทานริสกีแก่มูซาให้มีสุขภาพดีแข็งแรง และมีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ ครั้งหนึ่งมูซาได้ฆ่าชาวกิบฏีคนหนึ่งที่กำลังทำร้ายชาวอิสราเอล ดังที่กุรอ่านได้ระบุไว้ในซูเราะห์อัลกิซ็อซ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มูซาต้องเดินทางหนีออกไปยังเมืองมัดยัน ซึ่งที่นั่นก็เป็นประวัติศาสตร์จารึกเรื่องราวของมูซากับบุตรสาวทั้งสองของนาบีชุอัยบ ก็เกิดประวัติศาสตร์ขึ้นอีกว่า มูซาได้แต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งมาจากสองคนของนาบีชูอัยบ โดยคิดค่าสินสอดเป็นการทำฮัจญ์ 8 หรือ 10 ครั้ง ซึ่งมูซาก็ทำจนครบ 10 ครั้ง หลังจากนั้นก็พาภรรยาของเขากลับจากเมืองมัดยันไปยังประเทศอียิปต์ ซึ่งต้องเดินทางผ่านภูเขาซีไนน์ ซึ่งที่นั่นอัลลอฮ์ได้พูดกับมูซา และแต่งตั้งให้ท่านเป็นรอซูล และอัลลอฮ์ลงคำสั่งให้มูซาเดินทางไปหาฟิรเอาน์พร้อมกับฮารูน ซึ่งมูซาได้ขอไว้ ดังซูเราะห์ตอฮา อายะห์ที่ 29-32 ความว่า (และทรงโปรดให้คนในครอบครัวของข้าพระองค์เป็นผู้ช่วยแก่ข้าพระองค์ด้วย ฮารูนพี่ชายของข้าพระองค์ได้โปรดให้เขาเพิ่มความเข้มแข็งแก่ข้าพระองค์ด้วย และให้เขามีส่วนร่วมในกิจการของข้าพระองค์ด้วย)

และอัลลอฮ์ได้ประทาน มุญิซัด (อภินิหารเหนือความคาดหมาย) เป็นมือและไม้เท้าแก่มูซา อัลลอฮ์ทรงตรัสในซูเราะห์ตอฮา อายะห์ที่ 17-23 ว่า (และอะไรที่อยู่ในมือขวาเจ้าเล่า โอ้มูซา เจ้ากล่าวว่ามันคือไม้เท้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ใช้มันสำหรับยัน และข้าพระองค์ใช้มันตีบนพุ่มไม้เพื่อเป็นอาหารสำหรับแกะของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ใช้มันในประโยชน์อื่นๆ อีก พระองค์ทรงตรัสว่า จงโยนมันไปสิ โอ้มูซาเอ๋ย เขาจึงโยนมันลงไปแล้วมันก็ได้กลายเป็นงูเลื้อย พระองค์ทรงตรัสว่า จงจับมันขึ้นมาและอย่ากลัว เราจะให้มันกลับมาเป็นไม้เท้าตามสภาพก่อนของมัน และจงเอามือของเจ้าซุกไปใต้รักแร้ แล้วเอามันออกมามันจะมีสภาพขาวประกาย ปราศจากอันตรายใดๆ มันเป็นอีกสัญญานหนึ่ง เพื่อเราจะให้เจ้าได้เห็นบางส่วน จากสัญญานทั้งหลายอันยิ่งใหญ่ของเรา)

อิบนุอับบาส พูดถึงความพิสดารของไม้เท้า “มันได้กลายเป็นงูตัวผู้ กลืนกินก้อนหินและต้นไม้ เมื่อมูซาเห็นมันกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า มูซากลัวเลยวิ่งหนี และอัลลอฮ์ทรงเรียกให้มูซาหันกลับมา”

หลังจากนั้น อัลลอฮ์ทรงรับสั่งมูซาและฮารูนว่า (เจ้าทั้งสองจงไปหาฟิรเอาน์ แท้จริงเขายะโสโอหังมาก แล้วเจ้าทั้งสองจงพูดกับเขาด้วยคำพูดที่อ่อนโยน เพื่อว่าเขาอาจจะรำลึกขึ้นมา หรือเกิดความยำเกรงขึ้น เขาทั้งสองได้กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของเรา แท้จริงเรากลัวว่า เขาจะล่วงเกินเราหรือเขาจะแสดงโอหังแก่เรา พระองค์ตรัสว่า เจ้าทั้งสอง อย่ากลัว แท้จริงข้าอยู่กับเจ้าทั้งสอง ข้าได้ยินและได้เห็น) ซูเราะห์เดียวกัน อายะห์ที่ 43-46

มูซาและฮารูนจึงเดินทางไปหาฟิรเอาน์ และเชิญชวนให้เขาหันเข้าหาศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า มูซากล่าวกับเขาว่า (แท้จริงเราเป็นรอซูลของพระเจ้าของท่าน ฉะนั้นท่านจงปล่อยวงศ์วานของอิสราอีลมากับเราเถิด และอย่าได้ทรมานพวกเขาเลย แน่นอนเราได้นำสัญญานจากพระเจ้าของท่านมายังท่านแล้ว และความปลอดภัยจงมีแต่ผู้ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง แท้จริงได้มีวะฮีย์มายังเราว่า แท้จริงการลงโทษจะประสบแก่ผู้ปฏิเสธ และหันหลังในการอีหม่าน)

ฟิรเอาน์ตอบแก่พวกเขาว่า (ดังนั้น ใครเล่าคือพระเจ้าของพวกท่านทั้งสอง โอ้มูซาเอ๋ย ) ซูเราะห์ตอฮา 49 มูซาตอบว่า (พระเจ้าของเราคือ ผู้ทรงประทานทุกอย่างแก่สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และพระองค์ก็ทรงชี้แนะแนวทางให้ เขากล่าวว่า แล้วสภาพของคนรุ่นก่อนๆ นั้นเป็นเช่นไร?) 51 หมายถึง พวกเขาไม่ได้ศรัทธาต่อพระเจ้าของเจ้านี่มูซา แต่พวกเขากราบไหว้รูปปั้นและสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่พระเจ้าของพวกท่าน มูซาตอบว่า (ความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่พระเจ้าของฉันในบันทึกของพระองค์ พระเจ้าของฉันจะไม่ทรงผิดพลาด และไม่ทรงหลงลืม) 52

ในซูเราะห์ อัชชูอารออ์ อายะห์ที่ 18-19 ระบุว่า (เรามิได้เลี้ยงดูเจ้า เมื่อขณะเป็นเด็กอยู่กับพวกเราดอกหรือ? และเจ้าได้อยู่กับเราหลายปีในช่วงชีวิตของเจ้า และเจ้าได้ทำการกระทำของเจ้าซึ่งเจ้าได้กระทำไปแล้ว และเจ้าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้เนรคุณ) หลังจากที่ทั้งสองได้โต้เถียงกัน ตามที่อัลกุรอ่านได้ระบุไว้ พร้อมทั้งเหตุผลต่างๆ ที่มูซานำมาชี้แจงกับฟิรเอาน์นั้น ฟิรเอาน์จึงกล่าวว่า (เจ้ากล่าวว่า หากเจ้ายึดถือพระเจ้าอื่นจากฉัน ฉันจะให้เจ้าอยู่ในหมู่ผู้ต้องขัง)29 มูซากล่าวตอบไปว่า (เขากล่าวว่า แม้ฉันจะนำสิ่งที่ชัดแจ้งมายังท่านกระนั้นหรือ เขากล่าวว่า จงนำมันมาซิ หากเจ้าเป็นคนจริง ดังนั้นเขาได้โยนไม้เท้าของเขา แล้วมันคืองูอย่างชัดแจ้ง และได้ส่งมือของเขาออกมาแล้วมันก็เป็นสีขาวแก่บรรดาผู้มองดู)31-33

เมื่อมูซาได้แสดงอภินิหารของไม้เท้าและมือแล้ว ซึ่งฟิรเอาน์ได้เห็นต่อหน้าเขาว่างูตัวใหญ่ เขาไม่สามารถนั่งดูอยู่กับที่ได้ เขาวิ่งหนี แต่เมื่อความตื่นตระหนกลดลงแล้ว เขากล่าวว่า “นี่เป็นเพียงมายากลเท่านั้น” เขากล่าวกับกลุ่มชนของเขาว่า “มูซาไม่ได้ทำอย่างนี้ เว้นเสียแต่ว่าต้องการให้พวกเจ้าออกไปจากแผ่นดินนี้เท่านั้น” ฟิรเอาน์จึงสั่งรวบรวมนักมายากลในวันสำคัญวันหนึ่ง ซึ่งมีนักมายากลประมาณ 80,000 คนมาร่วมงาน

เผชิญหน้ากับนักมายากล
นักมายากลเดินทางมาพร้อมกับเชือกและไม้เท้า พวกเขารวมตัวกันและถามฟิรเอาน์ว่า (พวกเราจะมีรางวัลแน่นอนหรือ หากเราเป็นผู้ชนะ เขากล่าวว่า ถูกแล้ว และพวกท่านขณะนั้นจะอยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิดอย่างแน่นอน) ซูเราะอัชชูอารออ์ อายะห์ที่ 41-42

เมื่อมูซาเห็นพวกเขาในวันสำคัญของพวกเขานั้น (มูซาได้กล่าวแก่พวกเขาว่า ความหายนะจงประสบแก่พวกท่าน พวกท่านอย่าได้เสกสรรปั้นแต่งการมุสาต่ออัลลอฮ์ มิฉะนั้นพระองค์จะทรงทำลายพวกท่านด้วยการลงโทษ และผู้ปั้นแต่งการมุสานั้น ได้ประสบความผิดหวังมาแล้ว) ซูเราะห์ตอฮา อายะห์ที่ 61 หลังจากนั้น (พวกเขาก็กล่าวว่า โอ้มูซาเอ๋ย ท่านจะเป็นผู้โยนหรือว่าพวกเราจะเป็นผู้โยนก่อน มูซากล่าวว่า หามิได้พวกท่านจงโยนก่อนสิ ณ บัดนั้น เชือกและไม้เท้าของพวกเขาดูประหนึ่งว่ามันเลื้อยคลานไปมาเพราะเล่ห์กลของพวกเขา มูซาจึงรู้สึกกลัวขึ้นในตัวเขา เรากล่าวว่า เจ้าอย่ากลัว แท้จริงเราอยู่ในสภาพที่เหนือกว่า และเจ้าจงโยนสิ่งที่อยู่ในมือขวาของเจ้า มันจะกลืนสิ่งที่พวกเขาทำขึ้น แท้จริงสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นเป็นแผนของนักมายากล และนักมายากลนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าเขาจะมาจากทางไหนก็ตาม) ตอฮา 65-69

เมื่อมูซาโยนไม้เท้าลงไป มันก็กลืนกินเชือกและไม้เท้าของพวกเขาไปหมด มีรายงานกล่าวว่า ชายตาบอดคนนึงยืนอยู่ในกลุ่มฝูงชนที่เฝ้าดูอยู่ ซึ่งชายตาบอดดังกล่าว ถามคนที่อยู่ข้างๆ ว่า มีอะไรอยู่ในท้องงูมูซาหรือเปล่า ซึ่งคนข้างๆ บอกว่า ไม่มี เขาเลยมีอีหม่านตั้งแต่บัดนั้น

เมื่อพวกนักมายากลได้เห็นดังกล่าว พวกเขามั่นใจว่า นี่ไม่ใช่มายากล แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่มูซากระทำไม่ได้เป็นมายากล แต่มันเป็นอภินิหารที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้ (พวกนักเล่นกลจึงก้มลงกราบสูญุด พวกเขากล่าวว่า เราศรัทธาต่อพระเจ้าแห่งสากลโลก พระเจ้าของมูซาและฮารูน) ซูเราะห์ อัชชูอารออฺ อายะห์ที่ 46-48

อิบนุอับบาส กล่าวว่า “เมื่อพวกเขาสุญุด อัลลอฮ์ได้ให้พวกเขาเห็นสถานที่ของพวกเขาในสวรรค์” เมื่อฟิรเอาน์เห็นพวกเขาลงกราบสูญุด จึงถามพวกเขาว่า (พวกท่าน ศรัทธาต่อเขาก่อนที่ฉันจะอนุญาตแก่พวกท่านกระนั้นหรือ ?)ซูเราะห์อัชชูอารออฺ อายะห์ 49 มีหรือที่การอีหม่านศรัทธาต่ออัลลอฮ์ จะต้องได้รับการอนุญาตจากมนุษย์ผู้โง่เขลาเอ๋ย ฟิรเอาน์จึงกล่าวต่อว่า (แน่นอน (เขา) ต้องเป็นหัวหน้าของพวกท่านซึ่งได้สอนการเล่นกลแก่พวกท่าน)49 ฟิรเอาน์หมายถึงมูซา ว่าเป็นคนสั่งสอนมายากลแก่พวกเขา และพวกเขาได้ตกลงกันมาก่อนแล้ว ซึ่งฟิรเอาน์ได้คาดโทษพวกเขา (แล้วพวกท่านจะรู้ แน่นอนฉันจะตัดมือและเท้าของพวกท่านสลับข้างกัน และแน่นอนฉันจะแขวนตรึงไว้ทั้งหมด พวกเขากล่าวว่า ไม่เป็นไรหรอก แท้จริงเรานั้นต้องเป็นผู้กลับไปยังพระเจ้าของเรา) อัชชูอารออฺ 49-51 แท้จริงเราปรารถนาที่จะให้พระเจ้าของเราทรงยกโทษให้แก่เรา เพราะเราเป็นกลุ่มแรกที่ศรัทธา เมื่อพวกเขามั่นคงในอีหม่าน ฟิรเอาน์ก็ฆ่าพวกเขา ตัดแขนตัดขา และแขวนตรึงไว้

ฮามานสร้างหอคอย
ฟิรเอาน์ได้เรียกรัฐมนตรีของเขา ฮามาน และมีคำสั่งให้เขาสร้างหอคอย เพื่อ...เพื่อเขาจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซา และกล่าวว่า (ฉันไม่รู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกท่าน) อัลกีซ็อซ อายะห์ที่ 39 อัลลอฮ์กล่าวว่า (และฟิรเอาน์กล่าวว่า โอ้ฮามานเอ๋ย เจ้าจงสร้างหอสูงให้ฉัน เพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป ทางที่จะขึ้นสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริงฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่า เขาเป็นคนโกหก เช่นนั้นแหละ การงานที่ชั่วช้าของเขาได้ถูกทำให้เพริศแพร้วแก่ฟิรเอาน์ และเขาถูกปิดกั้นจากแนวทาง และแผนการของฟิรเอาน์นั้นมิใช่อื่น นอกจากอยู่ในความหายนะ) ฆอฟิร 36-37

ในหนังสือตัฟซีร อัล กาชัฟ กล่าวว่า “ฟิรเอาน์ได้ไต่ขึ้นไปบนหอคอยแล้วยิงธนูขึ้นไปบนฟ้า แต่อัลลอฮ์ประสงค์จะหลอกเขาโดยทำให้ศรนั้นย้อนกลับไปยังฟิรเอาน์ และที่ปลายศรมีเลือดติดอยู่ ฟิรเอาน์จึงยินดีและพูดว่า ฉันฆ่าพระเจ้าของมูซาได้แล้ว ต่อไปนี้มูซาจะไม่มีพระเจ้าให้เคารพสักการะอีกต่อไป อัลลอฮ์กล่าวว่า (และเช่นเดียวกัน ได้ประดับประดาการกระทำเลวของฟิรเอาน์ให้ดูดี และออกห่างจากแนวทางที่ถูกต้อง และแผนการของเขาจะอยู่ในความหายนะ)

เมื่อเขาลงมา ดีกรีของความจองหองกลับเพิ่มมากขึ้น เขารวบรวมไพร่พลของเขา และกล่าวว่า (หมู่ชนของฉัน อาณาจักรแห่งอียิปต์มิได้เป็นของฉันดอกหรือ และแม่น้ำเหล่านี้ที่ไหลผ่านเบื้องล่าง (วัง) ของฉัน พวกท่านไม่เห็นดอกหรือ ยิ่งกว่านั้นฉันยังดีกว่าคนนี้ ผู้ซึ่งต่ำต้อย และแทบจะไม่ชัดถ้อยชัดคำ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมไม่สวมกำไลทองให้เขาเล่า หรือมีมลาอีกะห์ติดตามมาอยู่กับเขา ด้วยเหตุนี้เขาได้หลอกลวงหมู่ชนของเขา แล้วพวกเขาก็เชื่อฟังเขา แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน) อัซซัคร๊อฟ อายะห์ที่ 51-54

ในซูเราะห์อัลนาซีอาด อายะห์ที่ 23-24 อัลลอฮ์กล่าวตามคำพูดของฟิรเอาน์ว่า (แล้วเขาก็ได้เรียกชุมนุม แล้วประกาศออกไป แล้วกล่าวว่า ฉันคือพระเจ้าสูงสุดของพวกท่าน)

ประวัติของพระนางมาชีเตาะห์ บินตี ฟิรเอาน์
การมีอีหมานต่อัลลอฮ์ในขณะที่หัวใจกำลังสั่นคลอน มนุษย์ก็พยายามหาที่มั่นไว้ยึดเหนี่ยวที่จะปกป้องพวกเขาให้รอดพ้นจากความชั่วและความเป็นผู้ปฎิเสธได้ และมนุษย์ก็จะขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์ ตามแบบอย่างที่ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย ซึ่งคนมุมินนั้น เปรียบเสมือนทองคำอันบริสุทธิ์

นี่คือเรื่องราวของสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่นในศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง การทรมานนาง และประหารชีวิตนางโดยฟิรเอาน์ เพื่อให้นางละทิ้งศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์นั้น ไม่เป็นผลอะไร การกระทำเหล่านั้นของฟิรเอาน์ไม่สามารถทำให้ความศรัทธาของนางลดน้อยลงไปได้

จากท่านอิบนิอับบาส กล่าวว่า รอซูลกล่าวว่า “ในขณะที่ฉันกำลังเดินทางในคืนอิสเราะห์ เมียะรอจญ อยู่นั้น ได้มีกลิ่นหอมโชยมากระทบจมูกของฉัน ฉันถามว่า นี่คือกลิ่นอะไร ? ญิบรีลตอบว่า กลิ่นหอมของนางมาซีเตาะ บินตี ฟิรเอาน์และลูกๆ ของนาง หวีได้ตกจากมือของนาง ในขณะที่นางกำลังหวีผมให้บุตรสาวของฟิรเอาน์ เธอกล่าวว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ บุตรสาวของฟิรเอาน์กล่าวว่า บิดาของฉัน เธอตอบว่า พระเจ้าของฉัน และพระเจ้าของเจ้า และพระเจ้าของพ่อของเจ้า คือ อัลลอฮ์ ฟิรเอาน์กล่าวว่า จงนำตัวนางมา ฟิรเอาน์กล่าวกับนางว่า เจ้านับถือพระเจ้าอื่นนอกจากฉันกระนั้นหรือ เธอตอบว่า ใช่ พระเจ้าของฉันและพระเจ้าของท่านคืออัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ฟิรเอาน์กล่าวว่า จงนำกระทะทองแดงใบใหญ่มา ต้มน้ำจนเดือด หลังจากนั้นก็สั่งให้นางมาชีเตาะกระโดดลงไปในกระทะดังกล่าว เธอกล่าวว่า ฉันขออะไรจากท่านสักอย่างได้หรือไม่? ฟิรเอาน์ถามว่า อะไร? นางตอบว่า ให้รวบรวมกระดูกของฉันและกระดูกของลูกๆ ของฉันไว้ในหลุมเดียวกัน ฟิรเอาน์ตอบว่า เธอจะได้รับตามที่เธอขอ ท่านญิบรีลกล่าวว่า ดังนั้นฟิรเอาน์จึงสั่งให้นางและลูกๆ กระโดดลงไปในกระทะทีละคนๆ จนกระทั่งถึงตัวลูกคนเล็กที่ยังไม่หย่านม เด็กดังกล่าวพูดว่า โอ้แม่ของฉันปล่อยฉันลง และอย่ากอดฉันไว้ แท้จริงแล้วท่านอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ท่านญิบรีลกล่าวว่า 4 คนที่พูดได้ในขณะที่ยังเป็นทารกอยู่ คือ เด็กคนนี้ และเด็กที่เป็นพยานให้นาบียูซุฟ และเด็กที่ช่วยเหลือญุเรียะ และท่านนาบีอีซา บิน มัรยัม (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)

นี่คือ อีกตัวอย่างหนึ่งของอาชญากรรมจากหลายๆ อาชญากรรม ที่ทารุณโหดร้าย และทรมานต่อผู้ที่ยึดมั่นในศรัทธา ซึ่งได้กระทำโดยฟิรเอาน์ผู้หยิ่งยะโส

ฟิรเอาน์ได้ลงโทษพระนางอาซียะ บินตี มาซาหิม
นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของผู้มั่นคงในศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ผู้ซึ่งเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ ยึดมั่นในหลักศรัทธา เป็นบทเรียนที่เตือนใจพวกเราไม่ให้ไขว้เขว อัลลอฮ์ได้ยกเกียรติพระนางผู้นี้ โดยการบันทึกเรื่องราวของพระนางในอัลกุรอ่านในซูเราะห์ อัตตะห์รีม เพื่อให้มีคนกล่าวถึง และสรรเสริญนางไปจนถึงวันกียามะห์

จากท่าน อัลกอเซ็ม บิน อาบี นับเราะ กล่าวว่า ภรรยาของฟิรเอาน์ถูกถามว่า ใครคือผู้ชนะ? พระนางตอบว่า พระเจ้าของมูซาและฮารูนคือผู้ชนะ และนางกล่าวว่า ฉันศรัทธาในพระเจ้าของมูซาและฮารูน ฟิรเอาน์จึงส่งคนไปหานาง แล้วกล่าวว่า พวกท่านจงมองก้อนหินก้อนใหญ่นั่น หากนางยังฝืนกล่าวเหมือนเดิมอีก ฉันจะทุ่มก้อนหินก้อนนี้บนตัวนาง หากนางกลับคำพูดนางก็คือภรรยาของฉัน เมื่อพวกเขานำพระนางอาซียะห์มา นางเหลือบมองไปยังท้องฟ้า นางมองเห็นที่พำนักของนางในสวรรค์ นางจึงยืนยันคำพูดเดิม วิญญาณของนางถูกดึงออกจากร่าง หลังจากนั้นร่างกายที่ไร้วิญญาณของนางก็ถูกทุ่มทับด้วยก้อนหินมหึมาก้อนนั้น

บางรายงานกล่าวว่า “ภรรยาของฟิรเอาน์ถูกจับไปตากแดด เมื่อฟิรเอาน์จากไป มลาอีกะห์ก็กางปีกให้เป็นร่มเงาแก่นาง ซึ่งนางก็มองเห็นที่พักอาศัยของนางในสวรรค์”

อัลลอฮ์ทรงยกเกียรติของพระนาง เหนือคนอื่น
1. อัลลอฮ์กล่าวว่า (และอัลลอฮ์ทรงยกอุทาหรณ์แก่บรรดาผู้ศรัทธาถึงภริยาของฟิรเอาน์ เมื่อนางได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดสร้างบ้านหลังหนึ่งให้แก่ข้าพระองค์ ณ ที่พระองค์ท่านในสวนสวรรค์ และทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากฟิรเอาน์ และการกระทำของเขา และทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พันจากหมู่ชนผู้อธรรม) อัตตะห์รีม อายะห์ที่ 11

2. จากท่านอาบีมูซา อัลอัชอารี กล่าวว่า รอซูลกล่าวว่า ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบในอิสลามมีมากมาย แต่ไม่มีผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ ยกเว้น พระนางอาซียะห์ ภรรยาของฟิรเอาน์ พระนางมัรยัม บินติอิมรอน พระนางคอดียะห์ บินตี คูวัยลิด และความเหลื่อมล้ำของพระนางอาอีชะห์เหนือสตรีอื่น เหมือนกับอาหารชนิดหนึ่ง (อัล ษารีด) เหนือกว่าอาหารชนิดอื่นๆ

อัลลอฮ์ให้ประสบกับความทุกข์ยากหลังจากที่เขาเสวยสุข
ฟิรเอาน์และพรรคพวกของเขาประกาศทำสงครามกับมูซาและกลุ่มชนของท่าน ดังที่อัลกุรอ่าน ได้ชี้แจงว่า อัลลอฮ์ กล่าวว่า (และบุคคลชั้นนำจากประชาชาติของฟิรเอาน์ได้กล่าวว่า ท่านจะปล่อยมูซาและพวกพ้องของเขาไว้เพื่อก่อความเสียหายในแผ่นดิน และละเลยท่าน และบรรดาที่เคารพสักการะของท่านกระนั้นหรือ เขากล่าวว่า เราจะฆ่าบรรดาลูกชายของพวกเขา และไว้ชีวิตบรรดาหญิงของพวกเขา และแท้จริงเราเป็นผู้มีกำลังอำนาจเหนือพวกเขา) ซูเราะห์อัลอะรอฟ อายะห์ที่ 127 เมื่อวงศ์วานของอิสราเอลทราบดังนั้น ก็เกิดความสะพรึงกลัว และร้องทุกขฺ์กับมูซา (มูซาได้กล่าวแก่พวกพ้องของเขาว่า จงขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮ์เถิด และจงอดทนด้วย แท้จริงแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ซึ่งพระองค์ประสงค์จะให้มันสืบทอดแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ และบั้นปลายนั้นย่อมเป็นของผู้ยำเกรงทั้งหลาย พวกเขากล่าวว่า พวกเราได้รับการทารุณ ทั้งก่อนที่ท่านจะมายังพวกเรา และหลังจากที่ท่านได้มายังพวกเรา เขากล่าวว่า หวังว่าพระเจ้าของพวกท่านจะทำลายศัตรูของพวกท่าน และจะทรงให้พวกท่านสืบช่วงแทนในแผ่นดิน แล้วพระองค์ก็ทรงดูว่า พวกท่านจะทำอย่างไร) อัลอะรอฟ อายะห์ที่ 128-129

มูซาจึงแหงนหน้าเข้าสู่ท้องฟ้าขอดุอาจากพระผู้เป็นเจ้าให้ขจัดฟิรเอาน์และพรรคพวกของเขา และขอให้ฮารูนเป็นผู้มีอีหม่าน ท่านกล่าวว่า (และมูซาได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา แท้จริงพระองค์ทรงประทานความสำราญและทรัพย์สินแก่ฟิรเอาน์และบรรดารัฐมนตรีของเขา ในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ข้าแต่พระเจ้าของเรา โดยพวกเขาจะทำให้หลงจากแนวทางของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงทำลายทรัพย์สินของพวกเขา และทรงโปรดทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง เพื่อมิให้พวกเขาศรัทธา จนกว่าพวกเขาจะเห็นการลงโทษอย่างเจ็บปวด) ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่ 88 พระองค์ทรงกล่าวว่า (การวิงวอนของเจ้าทั้งสองถูกรับแล้ว เจ้าทั้งสองจงดำเนินตามแนวทางที่เที่ยงธรรม และอย่าปฏิบัติตามแนวทางของบรรดาผู้ไม่รู้) 89

บทเรียนสำหรับผู้หยิ่งยะโสเริ่มขึ้นแล้ว
อัลลอฮ์กล่าวว่า (และแน่นอนเราได้ลงโทษวงค์วานของฟิรเอาน์ด้วยความแห้งแล้ง และการขาดแคลนผลไม้ต่างๆ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึก) อัลอะรอฟ อายะห์ที่ 130 อัลลอฮ์ได้ลงโทษพวกเขาเริ่มแรกด้วยโทษทัน 2 ชนิด คือ ให้พวกเขาหิวโหย และให้พวกขาดแคลนริสกี

ในเรื่องเล่าว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ เมื่อพระองค์ทรงพิโรธต่อกลุ่มชนใดๆ จะมีผู้ประกาศร้องเรียกระหว่างแผ่นฟ้าและพื้นดินว่า โอ้ความบารอกะห์ จงยกขึ้นไป โอ้ความคับขันจงแผ่กว้างขึ้น โอ้วิญญาณอย่าอิ่มเอิบ” หลังจากนั้นบาลา (ความทุกข์ยาก) ก็จะประสบแก่พวกเขา

อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า (แล้วเราได้สั่งให้น้ำท่วมและตั้กแตนและเหา และกบและเลือดมาเป็นสัญญาณอันชัดเจนแก่พวกเขา แต่แล้วพวกเขาก็แสดงโอหัง และได้กลายเป็นกลุ่มที่กระทำความผิด) อัลอะรอฟ 133
น้ำท่วม อุลามาอ์ตัฟซีรกล่าวว่า คือน้ำจากแม่น้ำไนล์ไหลบ่าท่วมแผ่นดินและทำลายพื้นที่เกษตร ในขณะเดียวกันก็มีฝนตกชกมืดมิด ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน มีคนกล่าวว่า เป็นเวลานานอยู่ถึง 8 วัน

ตั้กแตน ลงมากัดกินผลผลิต ต้นไม้ ประตูบ้าน หลังคาบ้าน เสื้อผ้าและทรัพย์สินบางส่วนของพวกเขา

พวกเหา (เห็บ) กัดกินหนังศีรษะของพวกเขา สูบกินเลือดพวกเขา และเข้าไปอยู่ในเสื้อผ้าของพวกเขา

กบ อัลลอฮ์ได้สั่งให้มูซาไปที่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ และเอาไม้เท้าชี้จากแม่น้ำไนล์ไปหาพวกของฟิรเอาน์ ทันใดนั้น กองทัพกบก็ออกมาจากแม่น้ำไนล์อย่างมืดฟ้ามัวดิน เข้าไปอยู่ในบ้านเรือนของพวกเขา ซึ่งบางคนไม่กล้าจะเปิดภาชนะอาหารหรือน้ำดื่ม เพราะทุกครั้งที่เปิดจะเจอแต่กบอยู่ภายในภาชนะดังกล่าว

เลือด น้ำดื่มของพวกเขาได้กลายเป็นเลือดแดงฉาน พวกเขาบางคนเปิดฝาภาชนะที่ใช้รองน้ำสำหรับดื่ม ปรากฏว่าน้ำข้างในภาชนะนั้นเป็นเลือดที่โสโครก พวกเขาไม่สามารถดื่มกินมันได้ แต่ก็น่าแปลกใจ ที่กลุ่มชนของมูซาซึ่งพักอาศัยอยู่ในเมืองนี้เหมือนกัน แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกิดขึ้นกับพวกเขาเลย ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลให้พวกเขาฉุกคิด แต่ในทางกลับกัน พวกเขากลับเพิ่มความยะโสโอหังมากยิ่งขึ้น และกล่าวแก่มูซาว่า (และพวกเขากล่าวว่า ท่านจะนำสัญญาณหนึ่งสัญญาณใดมายังพวกเรา เพื่อที่จะลวงให้เราหลงเชื่อต่อสัญญาณนั้นหรือ เราก็จะไม่เป็นผู้ที่ศรัทธาต่อท่าน) อัลอะรอฟ 132

จมอยู่ใต้น้ำ
อัลลอฮ์ทรงรับสั่งให้ท่านนาบีมูซารวบรวมวงศ์วานของอิสราเอล และพาพวกเขาออกเดินทางในเวลากลางคืนไปยังแผ่นดินซีไนน์ อัลลอฮ์กล่าวว่า (ดังนั้น จงเดินทางในเวลากลางคืน พร้อมด้วยบ่าวของเรา เพราะพวกเจ้าจะถูกติดตามอย่างแน่นอน) อัดดุคอน อายะห์ที่ 23 มูซาจึงรวบรวมกลุ่มชนของท่าน และออกเดินทางยามค่ำ เมื่อฟิรเอาน์รู้เรื่อง ว่ามูซาและสมัครพรรคพวกของท่านหนีออกจากเมือง เขาก็รวมรวมไพร่พลของเขาออกตามหลังมูซาไป

เมื่อมูซาและสมัครพรรคพวกของท่านได้เดินทางมาถึงชายฝั่งทะเล ซึ่งวงศ์วานอิสรอเอลทราบแล้วในขณะนั้นว่า ฟิรเอาน์กำลังนำกองทัพตามหลังพวกเขามา พวกเขาเลยตื่นตระหนก และพูดกับมูซาว่า (พวกเราจะถูกจับได้) อัชชูอารออฺ อายะห์ ที่ 61 มูซาจึงกล่าวกับพวกเขาว่า (ไม่หรอก แท้จริงพระเจ้าของฉันอยู่กับฉัน พระองค์ทรงชี้แนะทางแก่ฉัน) 62 อัลลอฮ์กล่าวว่า (ดังนั้น เราได้ดลใจให้มูซาว่า จงฟาดทะเลด้วยไม้เท้าของเจ้า แล้วมันก็ได้แยกออก แต่ละข้างมีสภาพเหมือนภูเขาใหญ่) 63 ซึ่งมูซาและสมัครพรรคพวกของท่านได้เดินผ่านรอยแยกดังกล่าวนั้น ในขณะเดียวกันกองกำลังทหารของฟิรเอาน์ตามหลังพวกเขามาจนถึงชายทะเล และเห็นทะเลแยกออกจากกันก็กล่าวว่า “ทะเลได้แยกออกจากกัน เนื่องจากเกรงกลัวความยิ่งใหญ่ของฉัน” ฟิรเอาน์และกองกำลังของเขาก็เดินผ่านรอยแยกนั้นตามหลังมูซาไปจนถึงกึ่งกลางของทะเล ในขณะที่กลุ่มของมูซาได้เดินไปถึงอีกฝั่งแล้ว ทันใดนั้น น้ำทะเลที่เคยแยกออกจากกันก็มาบรรจบกันในสภาพเดิมกลืนกินพวกเขาไปอยู่ใต้น้ำ ซึ่งขณะนั้นฟิรเอาน์เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่า ตัวเองจะต้องจมน้ำตาย ก็เลยกล่าวว่า (ฉันศรัทธาแล้วว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากผู้ซึ่งวงศ์วานอิสรออีลได้ศรัทธาต่อพระองค์ และฉันคือคนหนึ่งในหมู่ผู้นอบน้อม) ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่ 90 อนิจจา การขออภัยโทษในขณะที่คับขันและไม่คาดคิดว่าจะมีชีวิตรอดไปได้นั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรแก่ผู้ขอเลย และอัลลอฮ์ก็มิได้ทรงรับการร้องขอของเขา
จากท่านอิบนิอับบาส รายงานจากท่านนาบี (ซ.ล)ว่า “ญิบรีลกล่าวว่า หากท่านเห็นฉัน จะรู้ว่าฉันเป็นคนนำดินโคลนขึ้นมาจากท้องทะเล และฉันนำไปอุดปากชองฟิรเอาน์ เพราะกลัวว่า เขาจะได้รับความเมตตาของอัลลอฮ์”

อัลลอฮ์กล่าวตอบคำปฏิญาณของฟิรเอาน์ว่า (บัดนี้และแน่นอนเจ้าเป็นผู้ทรยศก่อนหน้านี้ และเจ้าเป็นคนหนึ่งที่บ่อนทำลาย ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้าออกจากทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆ ของเรา) ซูเราะห์ยูนุส อายะที่ 91-92

ด้วยความประสงค์ของพระองค์ที่จะนำร่างของฟิรเอาน์ออกมาไม่ให้สูญหายจมอยู่ใต้น้ำ เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เห็นร่างของเขาจนถึงวันกียามะห์ เพื่อให้พวกเราได้พิเคราะห์พิจารณา นำมาเป็นบทเรียนว่าอัลลอฮ์คือผู้ตัดสินในทุกการกระทำ และพระองค์ไม่ได้ชักช้าในการลงโทษ

นี่คือหน้าหนึ่งของเรื่องราวที่เลวทราม ที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติจะต้องจารึกไว้

อัลลอฮ์กล่าวว่า (และเราได้ทำให้พวกเขาเป็นหัวหน้า เรียกร้องไปสู่นรกญะฮันนัม และในวันกียามะห์ พวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ และเราได้ให้การสาปแช่งตามติดพวกเขาในโลกนี้ และในวันกียามะห์ พวกเขาจะอยู่ในหมู่ที่ผู้ถูกขับไล่ออกจากความเมตตา) อัลกีซ็อซ อายะห์ที่ 41-42

(กี่มากน้อยที่พวกเขาได้ทิ้งสวนหลากหลาย และน้ำพุหลายแห่ง และเรือกสวนไร่นา และอาคารรโหฐานอันมีเกียรติ และความสะดวกสบายที่พวกเขาสนุกสนานร่าเริง เช่นนั้นแหละ เราได้ให้หมู่ชนอื่นรับมรดกครอบครองมัน และชั้นฟ้า และแผ่นดินมิได้ร่ำไห้เพราะ (เสียดาย) พวกเขา และพวกขาจะไม่ถูกประวิงเวลา) อัดดุคอน 25-29

วงศ์วานของอิสราอีล คือกลุ่มชนผู้รับมรดกของฟิรเอาน์ และเป็นผู้ตักตวงความดีความชอบของพวกเขา

อัลลอฮ์กล่าวว่า (และเราได้ให้เป็นมรดกแก่กลุ่มชนที่นับว่าอ่อนแอ ซึ่งบรรดาทิศตะวันออกของแผ่นดิน และมรดกทิศตะวันตกของมัน อันเป็นแผ่นดินที่เราได้ให้มีความจำเริญในมัน และถ้อยคำแห่งพระเจ้าของเจ้าอันสวยงามยิ่งนั้น ครบถ้วนแล้ว แก่วงศ์วานอิสราอีล เนื่องจากการที่พวกเขามีความอดทน และเราได้ทำลายสิ่งที่ฟิรเอาน์ และพวกพ้องของเขาได้กระทำไว้ และสิ่งที่พวกเขาได้ก่อสร้างไว้) อัลอะรอฟ 137

เรื่องราวของกุรบ่าน (พลีสมบัติเพื่ออัลลอฮ์)

เรื่องราวของกุรบ่าน (พลีสมบัติเพื่ออัลลอฮ์)
อาดัม พูดกับกอบีลว่า หากเจ้าไม่พอใจในคำสั่งครั้งนี้ เจ้าทั้งสองจงทำกุรบาน กุรบานของเจ้าทั้งสองจะเป็นเครื่องตัดสินระหว่างพวกเจ้า “กุรบานจะตัดสินระหว่างเราได้อย่างไร?” กอบีลถาม อาดัมตอบว่า “กุรบานของใครที่อัลลอฮ์ทรงรับ ผู้นั้นจะเป็นผู้สมรสกับนางลูซา”

ทั้งสองจะต้องนำกุรบานมาวางไว้บนพื้น จนกระทั่งมีไฟมากินกุรบานนั้น

ฮาบีลตั้งใจเลือกแกะตัวอ้วนพีเป็นกุรบาน ทั้งนี้เพื่อหวังในความพอพระทัยของพระองค์ ในขณะที่กอบีลเลือกรวงข้าวที่ไม่ดีและไม่สวยงามมาเป็นกุรบานที่จะทำให้ตัวเองใกล้ชิดกับพระองค์

ทั้งสองได้นำกุรบานไปวางไว้บนที่สูง ไฟจากท้องฟ้าได้ลงมา และได้ยกแกะของฮาบีลขึ้นสู่ท้องฟ้า (จากท่านอิบนิอับบาสและคนอื่น กล่าวว่า แกะดังกล่าวที่ถูกยกขึ้นสู่สวรรค์ และได้รับการเลี้ยงดูอยู่ที่นั่น จนกระทั่งพระองค์ได้ประทานให้กับอิบรอฮีมเพื่อไถ่ตัวอิสมาอีลจากการถูกเชือด)

กอบีลจึงเกิดความริษยาต่อฮาบีล และค่อยๆ เพิ่มดีกรีความร้อนแรงขึ้น จนเขากล่าวกับน้องชายฮาบีล ว่า กุรบานของเจ้าได้รับการตอบรับ ในขณะที่กุรบานของฉันถูกปฏิเสธ ฉันจะฆ่าแก (หากท่านยื่นมือของท่านมายังฉัน เพื่อจะฆ่าฉัน ฉันก็ไม่ยื่นมือของฉันไปยังท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน แท้จริงฉันกลัวอัลลอฮ ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก แท้จริงฉันต้องการที่จะให้ท่านนำบาปของฉันและบาปของท่านกลับไป และท่านก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ชาวนรก และนั่นแหละคือการตอบแทนแก่บรรดาผู้อธรรม) ซูเราะห์อัลมาอีดะห์ อายะห์ที่ 28-29
ท่านอิบนิกาซีร กล่าวว่า คำพูดของฮาบีลดังกล่าวคือข้อเตือนใจให้แก่กอบีล หากเขาได้ไตร่ตรอง

อัลลอฮ์ทรงตรัสต่อว่า (แล้วจิตใจของเขาก็คล้อยตามเขาในการที่จะฆ่าน้องชายเขา แล้วเขาก็ฆ่าน้องชายของเขา ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ขาดทุน) เขาเป็นผู้เสียใจที่ทำให้ตนเองหลงผิด ทำให้ตัวเองขาดทุน ทำลายน้องชายของเขา ทำลายพ่อแม่ ซึ่งเป็นการเปิดประตูแห่งการพิโรธของพระองค์อัลลอฮ์เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ เขาเป็นผู้ขาดทุนในโลกดุนยานี้ และเป็นผู้ที่จะได้รับโทษทันอย่างแสนสาหัสในวันกียามะห์ ทั้งนี้เขาจะเป็นผู้รับบาปในฐานะที่เป็นอาชญากรแรกที่ฆ่าน้องชายของตัวเอง และจะต้องได้รับโทษทัณฑ์จากทุกการหลั่งเลือดบนหน้าแผ่นดินตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย

อะไรคือผลตอบแทน ?
รอซูลกล่าวว่า “ไม่มีบาปอันใดที่หนักและเป็นสาเหตุให้พระองค์อัลลอฮ์ลงโทษทั้งในดุนยาและจะลงโทษในอาคีเราะ คือ การทำลายชีวิตผู้อื่นและการตัดขาดญาติพี่น้อง”

จากท่านอิบนิมัซอูด (ร.ด) กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า “ไม่มีการทำลายชีวิตผู้ใด ด้วยการอธรรม เว้นแต่ลูกอาดัมคนแรกจะเป็นผู้ชดเชยจากเลือดของเขา เนื่องจากเขาเป็นคนแรกที่กระทำแบบอย่างการฆ่า”

จากท่านอับดุลเล๊าะ บินอัมร กล่าวว่า “แท้จริงชายที่ชั่วที่สุดในบันดาลูกหลานอาดัม คือผู้ซึ่งสังหารน้องชายของตัวเอง ไม่มีการนองเลือดครั้งใดที่เกิดขึ้นบนหน้าแผ่นดิน นับตั้งแต่เขาได้สังหารน้องชายของเขาแล้ว จนกระทั่งถึงวันกียามะห์ เว้นเสียแต่ว่า บาปกรรมจากการหลั่งเลือดนั้น จะติดตัวเขาไปด้วย ทั้งนี้เนื่องจากเขาเป็นฆาตกรคนแรกบนหน้าแผ่นดิน”

ท่านอิบรอฮีม อัลนัคอี กล่าวว่า “ไม่มีผู้ที่ถูกฆ่าด้วยอธรรม ยกเว้นลูกอาดัมคนแรกและชัยตอนเป็นผู้ชดเชยเลือดของเขา”

ฮาบีลไม่ได้เป็นคนอ่อนแอ แต่เป็นชายหนุ่มที่อัลลอฮ์ทรงประทานความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและสติปัญญา เมื่อพี่ชายต้องการจะสังหารเขา แต่เขาไม่ยอมต่อสู้และไม่ต้องการที่จะสังหารพี่ชาย เขาจึงถูกสังหาร ร่างอันไร้วิญญาณของเขาก็ตกลงบนอ้อมแขนของกอบีล ผู้ซึ่งเพ่งมองร่างอันไร้วิญญาณของน้องชายด้วยความสงบนิ่ง พิจารณาตัวเองที่เป็นฆาตกรมีจิตวิญญาณ กับร่างอันไร้วิญญาณของน้องชายที่ไม่มีการเคลื่อนไหว และสงบนิ่งต่อหน้าศพที่เลือดกำลังไหลนองพื้น และไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป

เขาไปไหน? เขาซ่อนอยู่ที่ไหน? ทั้งนี้เนื่องจากน้องชายเขา เป็นลูกหลานอาดัมคนแรกที่เสียชีวิตบนโลกดุนยา ซึ่งในขณะนั้นร่างอันไร้วิญญาณของน้องชายยังไม่ถูกฝัง

กอบีลหยุดนิ่ง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในขณะที่เขากำลังพิจารณาอยู่นั้น เขาพลันได้ยินเสียงการต่อสู้ของอีกา 2 ตัว และอีกาตัวหนึ่งก็ถูกสังหาร อีกาตัวที่ฆ่าจึงลงมาคุ้ยเขี่ยดินให้เป็นหลุม และนำร่างของอีกาที่เสียชีวิตไปฝังในหลุมดังกล่าวและกลบดิน กอบีลเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกเสียใจกับความโง่เขลาของตัวเองที่ไม่สามารถแม้จะคิดได้เหมือนอีกา อัลลอฮ์ ตรัสว่า (แล้วอัลลอฮ์ได้ส่งอีกาตัวหนึ่งมาคุ้ยหาในดิน เพื่อที่จะให้เขาเห็นว่า เขาจะกลบศพของน้องชายของอย่างไร เขากล่าวว่า โอ้ความพินาศของฉัน ฉันไม่สามารถที่จะเป็นเช่นอีกาตัวนี้ในการกลบศพน้องชายของฉันเชียวนี้หรือ แล้วเขาก็กลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ตรอมใจ) ซูเราะห์อัลมาอีดะห์ อายะห์ที่ 31

อายะห์ และฮาดิษต่างๆ ที่เตือนมิให้สังหารชีวิตผู้อื่นด้วยอธรรม

1. (เนื่องจากเหตุนั้นแหละ เราจึงได้บัญญัติแก่วงศ์วานอิสราอีลว่า แท้จริงผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งโดยมิใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือมิใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้ฆ่ามนุษย์ทั้งมวล และผู้ใดไว้ชีวิตนั้น ก็ประหนึ่งว่าเขาไว้ชีวิตมนุษย์ทั้งมวล) ซูเราะห์อัลมาอีดะห์ อายะห์ที่ 32

ท่านอีหม่ามอิบนุหัจญร์ อัลหัยซามี กล่าวว่า “การสังหารคนเพียงคนเดียว เสมือนการสังหารมนุษย์ทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องจากความรุนแรงของการสังหารผู้อื่นด้วยอธรรม และความรุนแรงของการสังหาร คือเป็นเสมือนกับการสังหารมนุษย์ทั้งหมดเป็นความรุนแรงที่เลวร้ายมากสำหรับทุกๆ คน ดังนั้นการสังหารคนๆ เดียว จำเป็นต้องเหมือนกับการสังหารมนุษย์ทั้งหมด”

2. (และผู้ใดฆ่าผู้ศรัทธาโดยจงใจ การตอบแทนของเขาคือ นรกญะฮันนัม และเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล อัลลอฮ์จะทรงกริ้วโกรธเขา และทรงสาปแช่งเขา และได้ทรงเตรียมการลงโทษอันรุนแรงและใหญ่หลวงไว้สำหรับเขา)

3. จากท่านอาบีฮูรัยเราะห์ กล่าวว่า แท้จริงรอซูลุลลอฮ์ ซอลลอลลอฮุอาลัยฮีวาซัลลัม กล่าวว่า พวกท่านจงห่างไกลจากบุคคล 7 จำพวก (หมายถึง พวกที่สร้างความเสียหาย) มีผู้ถามว่า โอ้รอซูลุลลอฮ์ พวกเขาคือใคร ท่านตอบว่า “การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ หมอผู้ทำเสน่ห์ ผู้ที่ฆ่าตัวเองซึ่งอัลลอฮ์ได้ทรงห้ามยกเว้นว่าฆ่าตัวเองในหนทางที่ถูกต้อง ผู้ที่กินดอกเบี้ย ผู้ที่กินสมบัติของลูกกำพร้า...และผู้ที่กล่าวโทษกับผู้ที่บริสุทธิ์ที่มีอีหม่านว่าทำซีนา”

4. จากอิบนิมัสอูด กล่าวว่า รอซูลกล่าวว่า “ประการแรกที่มนุษย์จะถูกสอบสวนในวันกียามะห์ คือ เรื่องการหลั่งเลือด)