วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

นัมรูด บิน กันอาน พระเจ้าที่ถูกตีด้วยรองเท้า 2



การตัดสิน

(พวกเขากล่าวว่า พวกท่านจงนำตัวเขามาท่ามกลางสายตาของประชาชน หวังว่าพวกเขาจะเป็นพยาน) ซูเราะห์ อัล อัมบียา อายะห์ที่ 61 หมายถึงว่า ท่ามกลางบรรดาผู้นำของพวกเขา หวังว่าพวกเขาจะเป็นพยาน และร่วมกันรับฟังคำพูดของอิบรอฮีมและช่วยกันตัดสินใจว่า จะลงโทษอิบรอฮีมอย่างไร ซึ่งการรวมคนครั้งใหญ่นี้ เป็นความต้องการของอิบรอฮีมอยู่แล้ว เนื่องจากท่านจะได้มีโอกาสชี้แจงให้พวกเขาเห็นว่า การกราบไหว้รูปปั้นนั้น เป็นการกระทำที่ไม่มีประโยชน์ เมื่อพวกเขาได้รวมตัวกันและนำตัวอิบรอฮีมมา ดังกุรอ่านระบุว่า (เจ้าเป็นผู้กระทำเช่นนี้กับพระเจ้าของเราหรืออิบรอฮีม เขาตอบว่า พระเจ้าตัวใหญ่นั้นเป็นผู้กระทำต่างหาก) ทั้งนี้มันไม่พอใจที่พวกท่านกราบไหว้รูปปั้นตัวอื่นร่วมกับมันด้วย (พวกท่านจงถามมันดูสิ หากมันพูดได้ )

(ดังนั้น พวกเขาจึงพิจารณาถึงตัวเอง แล้วกล่าวว่า แท้จริงพวกท่านนั้นแหละเป็นผู้อธรรม) ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถพูดได้แล้ว ไฉนเลยพวกท่านจึงปล่อยปะละเลย ไม่เฝ้าดูแลรักษามันให้รอดพ้นจากเงื้อมมือผู้กระทำได้

อุซตาซ ซัยยิด กุตุบ กล่าวว่า เสมือนกับว่าคำพูดเยาะเย้ยของอิบรอฮีมครั้งนี้จะสร้างความสั่นคลอนให้พวกเขา และทำให้พวกเขามีความคิดและพิจารณามากขึ้น และเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็เข้ารูปเดิม จิตใจของพวกเขาแข็งกระด้างเหมือนเดิม (แล้วพวกเขาก็ก้มศีรษะลง และกล่าวว่า แท้จริงท่านก็ทราบว่ามันพูดไม่ได้)

ดังนั้นอิบรอฮีมจึงถามพวกเขาว่า (เขากล่าวว่า พวกท่านสักการะสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ ทั้งที่ไม่สามารถให้คุณให้โทษแก่พวกเจ้าได้กระนั้นหรือ น่ารังเกียจสำหรับพวกท่าน และสิ่งที่ท่านสักการะอื่นจากอัลลอฮ์ พวกท่านไม่มีสติปัญญาดอกหรือ)

(พวกเขากล่าวว่า จงเผาเขาซะ และจงช่วยเหลือพระเจ้าของพวกท่าน หากพวกท่านจะกระทำเช่นนั้น เรา (อัลลอฮ์) กล่าวว่า ไฟเอ๋ย จงเย็น และทำให้อิบรอฮีมปลอดภัยด้วย) และในซูเราะห์ อัซซอฟาต อายะห์ที่ 97-98 ระบุว่า (พวกเขากล่าวว่า จงสร้างสถานที่แห่งหนึ่ง (เตาเผา) สำหรับเขา แล้วโยนเขาไปในไฟที่ลุกโชน ดังนั้น พวกขาต้องการวางแผนร้ายแก่เขา แต่เราได้ทำให้พวกเขาต่ำต้อย)

พวกเขาไม่สนใจที่จะรับฟังเหตุผล และไม่พิจารณาไตร่ตรองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้การโต้เถียงของพวกเขาหมดสิ้นแล้วซึ่งเหตุผลที่จะสนับสนุนความยิ่งใหญ่ของพวกเขา พวกเขาไม่ได้รับการชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง หัวใจของพวกเขาปิดรับเหตุผลนั้น ในขณะที่ดวงตาของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นถึงสัจจธรรมได้

หลังจากนั้น พวกเขาก็จัดการรวบรวมไม้เพื่อนำมาเป็นฟืนสำหรับการเผาอิบรอฮีม พวกเขารวบรวมให้ได้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะหาได้ แม้กระทั่งสตรีที่ป่วยเป็นไข้ พวกเขาก็ยังบอกให้นางไปหาฟืน โดยพวกเขาบอกว่า นางจะหายจากการเจ็บป่วย หากนางไปหาฟืนมาเผาอิบรอฮีมผู้ซึ่งทำลายพระเจ้าของพวกเรา หลังจากนั้นพวกเขาก็ขุดหลุมขนาดใหญ่ และใส่ฟืนลงไปในหลุมนั้น แล้วจุดไฟกองโต มีเปลวไฟที่ลุกโชนอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขาจับอิบรอฮีมใส่คันธนูยักษ์ คันธนูดังกล่าวชายคนหนึ่งที่ชื่อ “ไฮซัน” เป็นคนสร้างมันขึ้นมา และเขาเป็นคนแรกที่สร้างธนู อัลลอฮ์ลงโทษด้วยการให้แผ่นดินสูบเขาลงไปตราบจนถึงวันกียามะห์

เมื่ออิบรอฮีมถูกจับมัดมือมัดเท้าแล้วนำไปใส่ในธนูยักษ์ และพร้อมที่จะยิงไปให้ตกลงในกองไฟที่ลุกโชนนั้น อิบรอฮีมกล่าวว่า “อัลลอฮ์เป็นผู้ที่พอเพียงสำหรับเราแล้ว และท่านเป็นผู้ที่รับมอบหมายที่ดีเยี่ยม”ดังที่รายงานโดยท่านบุคอรีจากท่านอิบนิอับบาส กล่าวว่า นาบีอิบรอฮีมกล่าวว่า อัลลอฮ์เป็นผู้ที่พอเพียงสำหรับเราแล้ว และท่านเป็นผู้ที่รับมอบหมายที่ดีเยี่ยม” ในขณะที่ท่านกำลังถูกโยนลงไปในกองไฟ และท่านนาบีมูฮัมหมัดก็กล่าวด้วยคำพูดดังกล่าวเมื่อได้ยินกุรอ่านซูเราะห์ อาลอิมรอน อายะห์ที่ 173-174 ความว่า (บรรดาที่ผู้คนได้กล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงมีผู้คนได้ชุมนุมสำหรับพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงกลัวพวกเขาเถิด แล้วมันได้เพิ่มการอีมานแก่พวกเขา และพวกเขากล่าวว่า อัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ที่พอเพียงแก่เราแล้ว และเป็นผู้รับมอบหมายที่ดีเยี่ยม แล้วพวกเขาได้กลับมา พร้อมด้วยความกรุณาจากอัลลอฮ์ และความโปรดปรานโดยมิได้มีอันตรายใดๆ ประสบแก่พวกเขา...)

อิบนิฮาติม รายงานจากท่านอิบนิอับบาส กล่าวว่า เมื่อพวกเขาได้รวบรวมฟืนสำหรับเผาอิบรอฮีมได้เพียงพอแล้ว และโยนอิบรอฮีมลงในกองไฟ ทำให้คลังที่รองรับน้ำฝนกล่าวว่า เมื่อใดที่ฉันได้รับคำสั่งให้ปล่อยฝนลงไป ฉันก็จะทำ ดังนั้น คำสั่งของอัลลอฮ์รวดเร็วยิ่ง อัลลอฮ์รับสั่งว่า (ไฟเอ๋ย เจ้าจงเย็นและปลอดภัยสำหรับอิบรอฮีม) ไม่มีไฟหลงเหลือในหน้าแผ่นดิน เว้นแต่ดับไปทั้งสิ้น

อิบนิญารีร และอิบนุอาบีฮาติม จากท่าน อัลมันฮาล อิบนิอัมร กล่าวว่า มีคนเล่าเรื่องราวของอิบรอฮีมถูกโยนลงในกองไฟ ซึ่งท่านอยู่ในกองไฟนั้น ไม่ 40 ก็ 50 วัน ท่านกล่าวว่า “ไม่มีกลางวันหรือกลางคืนใดๆ ที่ดีสำหรับฉันเกินกว่าที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในกองไฟนั้น และการใช้ชีวิตของฉันทั้งหมดเหมือนกับการใช้ชีวิตที่อยู่ในกองไฟ”

จากท่านอาบีฮูรัยเราะห์ กล่าวว่า “ประโยคที่ดีที่สุด คือประโยคที่บิดาของอิบรอฮีมพูด ในขณะที่เขาเห็นลูกชายของเขาอยู่ในสถานการดังกล่าว “พระเจ้าที่ดียิ่ง คือพระเจ้าของเจ้า โอ้ อิบรอฮีมเอ๋ย”

การโต้แย้งของอิบรอฮีมและนัมรูด
ท่าน อัซซูดา กล่าวว่า การโต้เถียงครั้งนี้ ระหว่างอิบรอฮีมกับนัมรูด เกิดขึ้นในวันที่ท่านออกจากกองไฟ และในวันนั้นไม่มีการชุมนุม การโต้เถียงจึงเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง

อัลลอฮ์ กล่าวในซูเราะห์ อัลบากอเราะห์ อายะห์ที่ 258 ว่า (( เจ้า โอ้มูฮัมหมัด) มิได้มองดูผู้ที่โต้แย้งกับอิบรอฮีมในเรื่องของพระเจ้าดอกหรือ? เนื่องจากอัลลอฮ์ได้ทรงประทานอำนาจแก่เขา ขณะที่อิบรอฮีมกล่าวว่า พระเจ้าของฉันนั้นคือผู้ที่ทรงให้เป็นและให้ตายได้ เขา(นัมรูด)กล่าวว่า ข้าก็ให้เป็นและให้ตายได้ อิบรอฮีมกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันออก ท่านจงนำมันมาจากทิศตะวันตกเถิด แล้วผู้ปฎิเสธศรัทธานั้น ก็ได้รับความงงงวย และอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงประทานแนวทางอันถูกต้องแก่ผู้อธรรมทั้งหลาย)

นัมรูดกล่าวว่า (ข้าก็ให้เป็นและให้ตายได้) หมายถึง เขาจะบอกว่า ฉันก็ทำได้เช่นเดียวกัน ฉันทำให้เป็นและให้ตาย ฉันทำให้เป็นคนที่ฉันต้องการจะฆ่าแต่ฉันไม่ฆ่า สำหรับฉันนั้นคือการทำให้เป็น และฉันก็ฆ่าคนอื่น สำหรับฉันมันก็คือการทำให้ตาย

ท่านอัช เชากานี กล่าวว่า อิบรอฮีมต้องการที่จะบอกนัมรูดว่า แท้จริงอัลลอฮ์คือผู้ทรงประทานความเป็นและความตายในเรือนร่างเดียวกัน แต่สำหรับนัมรูดแล้ว เขาหมายถึงว่า การให้อภัยโทษโดยการไม่ฆ่า ถือว่านั่นคือการให้เป็น และหากในทางกลับกัน เขาฆ่าใครสักคน ก็แสดงว่า นั่นคือการทำให้ตาย นี่คือ คำตอบของคนโง่เขลาที่ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานในการโต้เถียงกับอิบรอฮีมได้ เนื่องจากความหมายที่แท้จริงแตกต่างจากที่นัมรูดคิด ซึ่งหากท่านอิบรอฮีม กล่าวว่า อัลลอฮ์ผู้ทรงประทานความเป็นและความตายในเรือนร่างเดียวกัน ท่านสามารถทำได้เช่นนั้นหรือไม่? แน่นอนเขาไม่สามารถให้คำตอบได้ และการโต้เถียงคงสิ้นสุดตั้งแต่เริ่มๆ แต่ท่านอิบรอฮีมก็เปลี่ยนเรื่องการโต้เถียงเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักฐานให้เขาได้ฉุกคิด และแสดงให้ผู้ที่พิจารณาได้พิจารณาต่อไป

อิบรอฮีม กล่าวในซูเราะห์เดียวกันว่า (แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันออก ท่านจงนำมันมาจากทิศตะวันตกเถิด) เป็นหลักฐานที่ทำให้นัมรูดต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่สามารถโต้เถียงต่อไปได้อีก

บทสรุปของผู้หยิ่งยะโส
ได้รายงานโดยท่านอับดุลรอซาก ท่านอิบนุล ญารีร ท่านอิบนุลมุนซีร ท่านอิบนุอาบีฮาติม อาบูอัลเชค ในหนังสือ อัลอุซมะ จากท่านเชคบินอัสลัม กล่าวว่า “ผู้ที่เริ่มๆ กดขี่ข่มเหงบนหน้าแผ่นดินคือ นัมรูด เมื่อฝูงชนของเขาได้ออกไปรับอาหารจากนัมรูด ซึ่งอิบรอฮีมก็ได้ออกไปรับอาหารในครั้งนั้นด้วย เมื่อฝูงชนเดินผ่านหน้านัมรูด เขาจะถามทีละคนว่า “ใครคือพระเจ้าของเจ้า?” ทุกคนก็ตอบว่า “ท่านนั่นแหละคือพระเจ้าของเรา” จนกระทั่งอิบรอฮีมเดินผ่านนัมรูด นัมรูดก็ถามเหมือนกับที่ถามคนอื่นๆว่า ใครคือพระเจ้าของเจ้า?” ท่านอิบรอฮีมจึงตอบว่า “ผู้ซึ่งสร้างความเป็นและความตาย” นัมรูดตอบว่า “ฉันก็ทำให้เป็นและให้ตายได้” ท่านตอบว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ท่านจงทำให้มันขึ้นทางทิศตะวันตกสิ” สร้างความงงงวย และความขุ่นเคืองแก่นัมรูดเป็นอย่างมาก จึงไม่อนุญาตให้อิบรอฮีมรับอาหารไป อิบรอฮีมจึงกลับไปหาครอบครัว ในขณะที่ท่านเดินผ่านกองทรายสีเหลือง แล้วกล่าวกับตัวเองว่า หรือฉันจะเอาสิ่งนี้นำไปฝากครอบครัวของฉัน เขาก็เลยนำทรายใส่ภาชนะกลับไป และวางไว้ก่อนที่จะเข้านอน เมื่อเช้ามาภรรยาของท่านก็เปิดออกดู ก็เจออาหารที่ดีที่สุดซึ่งนางไม่เคยพบเห็นมาก่อน นางเลยจัดแจงอาหารและตระเตรียมสำรับไว้ให้อิบรอฮีม ซึ่งอิบรอฮีมเองก็รู้ดีว่า ท่านไม่ได้นำอาหารอะไรกลับมาให้พวกเขาเลย ท่านจึงถามภรรยาว่า “ท่านเอาอาหารเหล่านี้มาจากไหน” และนางก็ตอบว่า “ก็เป็นอาหารที่ท่านนำกลับมายังไงเล่า” ท่านอิบรอฮีมเลยรู้ว่า อาหารเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้ท่าน เขาจึงกล่าวสรรเสริญและขอบคุณพระองค์ หลังจากนั้น อัลลอฮ์ได้ส่งมลาอีกะห์ไปหากษัตรีย์ผู้กดขี่ดังกล่าว เพื่อเชิญชวนให้เขาศรัทธาในพระเจ้า สิ่งที่นัมรูดตอบกลับมาว่า “มีพระเจ้าอื่นนอกจากฉันอีกหรือ?” มลาอีกะห์ก็กลับไป และไปหาเขาอีกเป็นครั้งที่สองและสาม แต่คำตอบที่ได้รับคือเหมือนเดิม เขาปฏิเสธ มาลาอีกะห์ก็กล่าวกับเขาว่า ท่านจงรวบรวมไพร่พลของท่านภายในเวลา 3 วัน นัมรูดจึงรวบรวมกำลังพลของเขา อัลลอฮ์จึงรับสั่งให้มลาอีกะห์เปิดประตูของยุงเข้ามาในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังส่องสว่าง พวกเขามองไม่เห็นแสงอาทิตย์ เนื่องจากฝูงยุงที่มากมายปิดบังแสงอาทิตย์หมด อัลลอฮ์ส่งพวกยุงมาเพื่อทำลายพวกเขา มันเข้าไปกัดกินเนื้อตัวของพวกเขา และดูดกินเลือดพวกเขาจนกระทั่งร่างกายของพวกเขาไม่มีอะไรหลงเหลือนอกจากโครงกระดูก แต่ตัวกษัตริย์ผู้กดขี่ยังไม่โดนฝูงยุงเข้าทำร้าย อัลลอฮ์ได้ส่งยุงเพียงตัวเดียวให้เข้าไปในโพรงจมูกของนัมรูด ทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่หลายสิบปี ด้วยการตีหัวตัวเองด้วยรองเท้า เนื่องจากความเจ็บปวดที่เขาได้รับจนทนไม่ไหว ในขณะที่ผู้พบเห็นการกระทำของเขาดังกล่าวก็รู้สึกเวทนา ทั้งนี้เนื่องจากเขากดขี่ข่มเหงผู้อื่นเป็นเวลาหลายสิบปี อัลลอฮ์ก็ลงโทษเขาให้ทนทุกข์ทรมานเป็นเวลาเท่ากัน และสุดท้ายอัลลอฮ์ก็ให้มาลาอีกะห์เอาชีวิตเขา ผู้ซึ่งเคยสร้างหอคอยสูงเสียดฟ้า และตั้งใจว่าจะขึ้นไปต่อสู้กับพระเจ้าของอิบรอฮีม

สัจจริงคำกล่าวของพระองค์ (แท้จริงบรรดาผู้ฝ่าฝืนอัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ ชนเหล่านี้อยู่ในหมู่ผู้อัปยศอดสู) ซูเราะห์ อัลมูญาดาละห์ อายะห์ที่ 20 สำหรับผู้ที่พิเคราะห์พิจารณาถึงหน้าประวัติศาสตร์จะเห็นบทสุดท้ายของผู้หยิ่งยะโส ซึ่งจะเป็นบทเรียนและข้อเตือนใจ และแสดงให้เห็นว่าความยิ่งใหญ่นั้นเป็นกรรมสิทธิ์และสิทธิของพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น ผู้เป็นผู้ปกครองแต่เพียงพระองค์เดียว ดังกุรอ่านซูเราะห์ อัลญาซียะ อายะห์ที่ 36-37 ความว่า (ฉะนั้นมวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์พระเจ้าแห่งชั้นฟ้า และพระเจ้าแห่งแผ่นดิน พระเจ้าแห่งสากลโลก ความยิ่งใหญ่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และในแผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เท่านั้น และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ)